วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554
บันทึกการเรียนรู้ที่ 15 วันที่27 กันยายน 2554
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 14 วันที่ 20 กันยายน 2554
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 13 วันที่ 13 กันยายน 2554
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 12 วันที่ 6 กันยายน 2554
อาจารย์ให้ส่งงานสิ่งประดิษฐ์จากแกนทิชชู
การเปลี่ยนสถานะของน้ำ
ภายใต้ความกดอากาศ ณ ระดับน้ำทะเลปานกลาง น้ำมีสถานะเป็นของเหลว น้ำจะเปลี่ยนสถานะเป็นก๊าซ (ไอน้ำ) เมื่อมีอุณหภูมิสูงถึง “จุดเดือด” (Boiling point) ที่อุณหภูมิ 100°C และจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เมื่ออุณหภูมิลดต่ำถึง “จุดเยือกแข็ง”(Freezing point) ที่อุณหภูมิ 0°C การเปลี่ยนสถานะของน้ำมีการดูดกลืนหรือการคายความร้อน โดยที่ไม่ทำให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง เราเรียกว่า “ความร้อนแฝง” (Latent heat)
ความร้อนแฝงมีหน่วยเป็น แคลอรี
1 แคลอรี = ปริมาณความร้อนซึ่งทำให้น้ำ 1 กรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1°C (ดังนั้นหากเราเพิ่มความร้อน 10 แคลอรี
ให้กับน้ำ 1 กรัม น้ำจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 10°C)
ภาพที่ 3 พลังงานที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะของน้ำ
ก่อนที่น้ำแข็งละลาย น้ำแข็งต้องการความร้อนแฝง 80 แคลอรี/กรัม เพื่อทำให้น้ำ 1 กรัม เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว น้ำแข็งดูดกลืนความร้อนนี้ไว้โดยยังคงรักษาอุณหภูมิ 0°C คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าน้ำแข็งจะละลายหมดก้อน ความร้อนที่ถูกดูดกลืนเข้าไปจะทำลายโครงสร้างผลึกน้ำแข็ง ทำให้น้ำแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว ในทางกลับกัน เมื่อน้ำเปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็ง ก็จะคายความร้อนแฝงออกมา 80 แคลอรี/กรัม
เมื่อน้ำเปลี่ยนสถานะเป็นไอน้ำ น้ำต้องการความร้อนแฝง 600 แคลอรี เพื่อที่จะเปลี่ยน น้ำ 1 กรัม ให้กลายเป็นไอน้ำ ในทำนองกลับกัน เมื่อไอน้ำควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ น้ำจะคายความร้อนแฝงออกมา 600 แคลอรี/กรัม ทำให้เรารู้สึกร้อน ก่อนที่จะเกิดฝนตก
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 11วันที่ 30 สิงหาคม 2554
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 10 วันที่ 23 สิงหาคม 2554
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งทึ่ 9 วันที่ 16 สิงหาคม 2554
แสงเป็นพลังงานรูปหนึ่ง เดินทางในรูปเคลื่อนที่มีอัตราเร็วสูง สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่มีแสง แหล่งกำเนิดแสงที่สำคัญที่สุดของเราคือดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม เราสามารถผลิตแสงได้เองเช่นกันโดยใช้ไฟฟ้า | |
ถ้าลำแสงผ่านควันหรือฝุ่นละออง จะเห็นลำแสงนี้เป็นเส้นตรงด้วยอัตราเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที แสงสามารถผ่านวัตถุบางชนิดได้ แต่แสงไม่สามารถผ่านวัตถุทึบแสงได้ เช่น แผ่นเหล็ก ผนังคอนกรีต กระดาษหนาๆ เป็นต้น วัตถุทึบแสงจะสะท้อนแสงบางส่วนและดูดกลืนแสงไว้บางส่วน และเกิดเงาได้เมื่อใช้วัตถุแสงกั้นลำแสงไว้ | |
ภาพที่ 12.1 แสดงวัตถุโปร่งใส (วัชรา ทับอัตตานนท์ : 2543, 15) | |
แสงจากดวงอาทิตย์เป็นแสงขาว ซึ่งประกอบด้วยแสง 7 สี ผสมอยู่ด้วยกัน เราสามารถใช้ปริซึมแยกลำแสงขาวออกเป็นแสงทั้ง 7 สีได้ โดยจะเห็นเป็นแถบของแสงสีทั้งหมดเรียงติดกัน เราเรียกว่า สเปกตรัม (Spectrum) ในธรรมชาติสิ่งที่มีสมบัติเป็นปริซึม ได้แก่ หยดน้ำฝน ละอองไอน้ำ โดยภายหลังจากฝนตกเมื่อแสงแดดส่องกระทบหยดน้ำฝนหรือละออง ไอน้ำ เราจะมองเห็นแสงแดดเป็นแถบสีทั้ง 7 สี ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ที่เรียกว่า รุ้งกินน้ำ (ภาพที่ 12.2) | |
ภาพที่ 12.2 การแสดงการกระจายของแสงขาว (บุญถึง แน่นหนา : 2544, 60) | |
เราอาจใช้แสงเพียง 3 สีรวมกันเป็นแสงขาวได้ เรียกว่า สีปฐมภูมิ(primarycolours) ได้แก่ แสงสีน้ำเงิน แสงสีเขียว และแสงสีแดง เมื่อมีปฐมภูมิทั้ง 3 นี้รวมกันจะได้แสงขาว (ภาพที่ 12.3) ถ้านำแสงสีปฐมภูมิ 2 สี มารวมกันจะได้ สีทุติยภูมิ(secondary colours) ซึ่งแสงของสีที่จะได้จากการผสมสีทุติยภูมิจะมีความแตกต่างกันในระดับความเข้มสีและความสว่างของแสง | |
ภาพที่ 12.3 แสดงแสงขางประกอบด้วยแม่สีทั้งสามตามสัดส่วนที่เหมาะสม (บุญถึงแน่นหนา : 2544, 62) | |
เรามองเห็นวัตถุโปร่งแสงด้วยตังเองไม่ได้เพราะมีแสงส่องมากระทบและสะท้อนจากวัตถุนั้นเข้าสู่นัยน์ตาของเรา และสีของวัตถุก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแสงที่สะท้อนนั้นด้วย โดยวัตถุสีน้ำเงินจะสะท้อนออกไปมากที่สุด สะท้อนแสงสีค้างเคียงออกไปบ้างเล็กน้อย และดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ ไว้หมด ส่วนวัตถุสีแดงจะสะท้อนแสงสีแดงออกไปมากที่สุด มีสีข้างเคียงสะท้อนออกไปเล็กน้อยและดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ ไว้หมดสำหรับสีดำจะดูดกลืนทุกแสงสีและสะท้อนกลับได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น | |
ภาพที่ 12.4 แสดงการมองเห็นสีแดง (มานี จันทามล, 2545 : 103) | |
แสงที่ออกมาจากแหล่งกำเนิดแสง เมื่อเดินทางผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่ต่างกัน จะเกิดการหักเห แต่จะผ่านเป็นเส้นตรงเมื่อเดินผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นเท่ากันหรือเป็นตัวกลางชนิดเดียวกัน | |
ภาพที่12.5 แสดงปริซึมแยกลำแสง เรียกว่า สเปกตรัม (บุญถึง แน่นหนา : 2544,62) | |
แสงเมื่อเดินทางจากตัวกลางหนึ่งไปยังตัวกลางอีกชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกลางโปร่งใสและมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน ความเร็วในการเดินทางของแสงจะเปลี่ยนไป | |
ภาพที่ 12.6 แสดงการหักเหแสงในตัวกลางต่างกัน (ยุพา วรยศ, 2547 : 127) | |
ภาพที่ 12.7 แสกงการหักเหของแสง (บุญถึง แน่นหนา, 2544 : 56) | |
แสงเมื่อเดินทางตกกระทบผิวหน้าของวัตถุอันหนึ่ง เช่น แสงเดินทางจากอากาศมากระทบแก้วโปร่งใส แสงส่วนหนึ่งจะสะท้อนกลับ อีกส่วนหนึ่งจะเดินทางผ่านเข้าไปในแก้ว และแสงจะหักเหเข้าหาเส้นปกติ เมื่อแสงเดินทางออกจากแก้วมาสู่อากาศ แสงจะหักเหออกจากเส้นปกติ ลำแสงก่อนตกกระทบแก้ว และลำแสงที่ออกจากแก้วจึงมีลักษณะขนานกัน | |
ภาพที่ 12.8 แสดงการหักเหของแสงทำให้เราเห็นวัตถุใต้น้ำผิด ไปจากค่าความจริง (บุญถึง แน่นหนา : 2544, 56) | |
แสงที่เดินทางจากตัวกลางที่โปร่งแสงไปสู่ตัวกลางที่โปร่งใส เช่น จากแก้วไปสู่อากาศ ถ้ามุมตกกระทบน้อย กว่า 42 องศา แสงบางส่วนจะสะท้อนกลับและบางส่วนจะทะลุออกอากาศ แต่ถ้าที่มุมแก้วตกกระทบแก้วกับ 42 องศา แสงจะสะท้อนกลับคืนสู่แก้วหมดไม่มีแสงออกจากอากาศเลย ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า การสะท้อนกลับหมด นั้นคือ รอยต่อแก้วกับอากาศทำหน้าที่เสมือนการตกกระทบที่จะทำให้แสงสะท้อนกลับหมด ซึ่งจะมีค่าแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของตัวกลาง (ภาพที่ 12.9) | |
ภาพที่ 12.9 แสดงการสะท้อนกลับหมด (บุญถึง แน่นหนา, 2544 : 56) | |
เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ แสงบ่างส่วนจะสะท้อนจากวัตถุ ถ้าแสงสะท้อนจากวัตถุเข้าสู่นัยน์ตาจะเกิดการมองเห็นและรับรู้เกี่ยวกับวัตถุนั้นได้ | |
ภาพที่ 12.10 แสดงการสะท้อนของแสง (มานี จันทวิมล, 2545 : 103) | |
จากรูป เมื่อแสงตกกระทบวัตถุทึบแสงผิงเรียบสามารถใช้เส้นตรงและหัวลูกศรแสดงทิศทางของรังสีตกกระทบและรังสีสะท้อน เมื่อลากเส้นทางเดินของแสงเมื่อตกกระทบวัตถุจะเกิดมุม 2 มุม โดยเรียกมุมอยู่ระหว่างรังสีตกกระทบกับเส้นปกติกว่า”มุมตกกระทบ” และเรียกมุมที่อยู่ระหว่างรังสีสะท้อนกับเส้นปกติว่า”มุมสะท้อน” (ภาพที่12.10) ซึ่งการสะท้อนแสงบนผิววัตถุอธิบายได้ด้วย | |
ภาพที่ 12..11 แสดงการสะท้อนของแสง (บุญถึง แน่นหนา : 2544, 53) | |
มุมวิกฤต (criticsl angle) เป็นมุมตกกระทบค่าหนึ่งทำให้เกิดมุมหักเหมีค่าเป็น 90 องศา มุมวิกฤตจะเกิดขึ้นได้เมื่อรังสีตกกระทบผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่นมากไปยังตัวกลางที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า เช่น เมื่อแสงผ่านแก้วสู่อากาศด้วยมุมวิกฤต จะทำให้แนวรังสีหักเหทับอยู่บนรอยต่อของตัวกลางทั้งสอง | |
ภาพที่ 12.12 แสดงการสะท้อนกลับมาของแสง | |
มิราจ (mirage) หรือภาพลวงตา เป็นปรากฏการณ์ซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงเนื่องจากชั้นของอากาศที่แสงเดิมทางผ่านมีอุณหภูมิต่างกัน แล้วเกิดการสะท้อนกลับหมด เช่น | |
ภาพที่ 12.13 แสดงการเกิดภาพลวงตา (บุญถึง แน่นหนา, 2544 : 57) |
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 7 วันที่ 2 สิงหาคม 2554
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 6 [ 26 กรกฎาคม 2554 ]
1. เขียนโครงการ ลด ละ เลิก เหล้า บุหรี่ เเละสิ่งเสพติด โดยมีหัวข้อ ดังนี้
- หลักการเเละเหตุผล
- วิธีดำเนินกิจกรรม
- สื่อเเละอุปกรณ์
- ประโยชน์ที่ได้รับ
2. นำกระดาษ 4 เเผ่นมาส่ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ให้ตีเป็นตาราง 2 ส่วน
- เเผ่นที่ 1 ให้เขียนชื่อ-นามสกุล เลขที่ กลุ่มเรียน เเละเขียนลำดับ 1-3
- เเผ่นที่ 2 เขียนลำดับ 4-7
- เเผ่นที่ 3 เขียนลำดับ 8-11
- เเผ่นที่ 4 เขียนลำดับ 12-15
3. ให้เขียนกิจกรรมการทดลองของกลุ่มตัวเอง
- วิธีการทดลอง
- อุปกรณ์
- ประโยชน์ที่ได้รับ
การเรียนการสอน ในวันนี้...
- เด็กปฐมวัย
- เป็นวัยที่อยากรู้อยากเห็น
- เป็นวัยที่มีการพัฒนาทางสติปัญญาที่สุดขอชีวิต
- เเสวงหาความรู้ สามารถเเก้ปัญหาได้ด้วยตนเองจากสิ่งเเวดล้อมรอบๆตัว
- ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
- เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยสามารถคิดหาเหตุผล เเสวงหาความรู้ สามารถเเก้ปัญหาได้ตามวัย ควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง จากสิ่งเเวดล้อมรอบๆตัว
- ทักษะการสังเกต
- การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ได้เเก่ ตา หู จมูก ลิ้น เเละผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุ
- ทักษะการจำเเนก
- ความสามารถในการเเยกสิ่งต่างๆ โดยใช้เกณฑ์
[ ความเหมือน , ความเเตกต่าง , ความสัมพันธ์ร่วม ]
- ทักษะการวัด
- การใช้เครื่องมือปริมาณหน่วยสิ่งต่างๆ โดยใช้หน่วยกำกับ
[ รู้จักกับสิ่งของที่จะวัด , การเลือกเครื่องมือที่นำมาใช้วัด , วิธีการที่เราจะวัด ]
- ทักษะการสื่อความหมาย
- การพูด การเขียน รูปภาพ เเละภาษาท่าทาง การเเสดงสีหน้า ความสามารถรับข้อมูลได้อย่างถูกต้องเเละชัดเจน
- ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล
- การเพิ่มเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูล ที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยจากความรู้ หรือประสบการณ์
- ทักษะการหาสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา
- การรู้จักเรียนรู้ 1 มิติ 2 มิติ 3 มิติ การบอกทิศทาง การให้เห็นภาพที่เกิดจากเงาบนกระจก บอกความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางของวัตถุ บอกตำเเหน่งหรือทศทางของวัตถุ
- ทักษะการคำนวณ
- ความสามารถในการนับจำนวนของวัตถุ การบวก ลบ คูณ หาร
*** ประดิษฐ์ของเล่นทางวิทยาศาสตร์มาคนละ 1 ชิ้น ***
บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 5 วันที่ 19 กรกฎาคม 2554
อาจารย์ให้นำเสนองานที่ยังไม่ผ่าน
- กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จะต้องมีขั้นตอนดังนี้
1. ตั้งสมมุติฐาน
2. ทดลอง
3. ลงมือปฏิบัติ
4. บันทึกผล แล้วนำผลที่ได้ไปเทียบเคียงกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
- วิทยาศาสตร์ ที่จัดเพื่อให้เด็กได้ คือ
1. ความรู้
2. ทักษะทางวิทยาศาสตร์
- หลักการจัดประสบการณ์
1. เรื่องใกล้ตัว
2. สอดคล้องกับความต้องการ
3. มีผลต่อเด็ก เช่น สึนามิ มีผลต่อภาวะโลกร้อนอย่างไร
หลังจากนั้น อาจารย์ให้แต่ละกลุ่มเขียน โครงการ ลด ละ เลิก เหล้า บุหรี่ และสิ่งเสพติด ถวายพ่อหลวง
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 4 [ 12 กรกฎาคม 2554 ]
* กลุ่มของดิฉันได้นำเสนอเรื่อง การเดินทางของเเสง *
วัตถุประสงค์ : เพื่อให้ทราบลักษณะทางเดินของเเสง ว่าเเสงเดินทางเป็นเส้นตรง
วัสดุอุปกรณ์
- กระดาษที่เจาะรูตรงกัน 3 เเผ่น
- เทียนไข
- เชือก
วิธีทดลอง
- วางกระดาษที่เจาะรูตรงกัน 3 เเผ่น ห่างกัน 10-15 ซม.
- ใช้ดินน้ำมันยึดที่ฐาน ไม่ให้กระดาษล้ม
- ใช้เชือกร้อยผ่านรู เเล้วดึงให้ตึง ปรับดินน้ำมันที่ยึดไว้อีกครั้ง
- จุดเทียนไขหน้ากระดาษเเผ่นเเรก ให้เปลวไฟอยู่ตรงกลาง เเละระดับเดียวกันกับรู
- มองที่รูของกระดาษเเผ่นเเรก ไปยังเเผ่นที่ 2 เเละ 3 สังเกตว่า เห็นเปลวเทียนหรือไม่
- เลื่อนกระดาษเเผ่นที่ 2 ออกไปทางด้านข้าง
- มองที่รูของกระดาษเเผ่นเเรก ไปยังเเผ่นที่ 2 เเละ 3 อีกครั้ง สังเกตว่า เห็นเปลวเทียนหรือไม่ อาจารย์ให้นำเสนองานครั้งที่แล้วไม่ผ่านแก้ใหม่ และหลังจากที่เสร็จการนำเสนองานครั้งที่ไม่ผ่านแล้ว ก็เริ่มเสนองานใหม่คือ จัดกิจกรรมการทดลองวิทยาสาสตร์ของแต่ละกลุ่ม
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3 [ 5 กรกฎาคม 2554 ]
- หลักการการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์
- กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์
- ของเล่นทางวิทยาศาตร์
- ตัวอย่างสื่อทางวิทยาศาสตร์
*** หลังจากที่นำเสนอเสร็จ อาจารย์ก็ได้พูดถึงข้อบกพร่องของเเต่ละกลุ่ม เเละให้เเต่ละกลุ่มกลับไปปรับปรุงเเก้ไขใหม่
อาจารย์ได้มอบหมายงานกลุ่ม เรื่องกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ ให้เเต่ละกลุ่มหา กิจกรรมทางวิทยาศาตร์ 1 กิจกรรม มานำเสนอในสัปดาห์ต่อไป
หาเพิ่มเติม
ความหมายของวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ตรงกับอภาษาอังกฤษว่า Science ซึ่งมาจากรากศัพท์ว่า Scientia แปลสั้นๆง่าย คือ ความรู้หรือความรู้ที่รวบรวมไว้อย่างมีระบบ ระเบียบ หรือความรู้เกี่ยวกับปรากฎการณ์ธรรมชาติ
กล่าวโดยสรุป วิทยาศาสตร์ หมายถึง ตัวความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (scientific product)และกระบวนการในการแสวงหาความรู้ (scientific product)ซึ่งแยกย่อยเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method)กับเจตคติทางวิทยาศาสตร์ (scientific attitude)
อ้างอิง
วิไลลัษณ์ ตั้งเจริญ. ความหมายของวิทยาศาสตร์.พิมพ์ ครั้งที่3.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ,2539
ความสำคัญ ของวิทยาศาสตร์
- ใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น การกินอาหาร
- ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
- ใช้ในการสร้างอาชีพ
- ทำให้เกิดการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
- ทำให้พยากรณ์อากาศรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
- สิ่งที่อยู่ในโลกนี้
- เกิดการพัฒนาผลิตสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นได้
- เด็ก
- เกิดข้อค้นพบและเอาตัวรอดได้
- เด็กเกิดความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง เกิดการพิสูจน์ด้วยตนเอง
- สิ่งแวดล้อม
- ทำให้เกิดการฤดูกาล
- ทำให้เกิดความสมดุล
หาเพิ่มเติม
ทฤษฎีพัมนาการทางสติปัญญา
พัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงที่เป็นลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
พัฒนาการเด็กแรกเกิด - ปี เด็กพยายามคว้าของเข้าปาก เก็บสะสมประสบการณ์ให้มากๆ เพื่อสร้างเส้นใยสมอง
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2 [ 28 มิถุนายน 2554 ]
ฟังเเล้วได้ความรู้อะไรบ้าง...
1. เปลี่ยนจากของเหลวกลายเป็นไอ
2. ความร้อน เป็นวัตถุที่ทำให้น้ำเกิดการเปลี่ยนเเปลง
3. เปลี่ยนรูปตามภาชนะ
อาจารย์ได้ให้เเบ่งกลุ่ม 6 กลุ่ม
- จิตวิทยาการเรียนรู้
- เเนวคิดนักการศึกษา
- หลักการการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
- กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์
- ของเล่นทางวิทยาศาสตร์
- ตัวอย่างสื่อทางวิทยาศาสตร์
บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 1 (วันที่ 21 มิถุนายน 2554)
องค์ประกอบอะไรบ้าง ดังนี้
1. ชื่อเเละคำอธิบายบล็อก
2. รูปเเละข้อมูลนักเรียน
3. ปฏิทินเเละนาฬิกา
4. เชื่อมโยงบล็อกกับอาจารย์ผู้สอน หน่วยงานที่สนับสุนน เเนวการสอน
บทความ งานวิจัย สื่อ [ เพลง เกม นิทาน ] ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย